[PANTIP] รีวิวตะลุยเดี่ยวเที่ยวกัมพูชา พนมเปญ-นครวัด 5 วัน 4 คืน ง่ายๆ สบายๆ วันที่ 2

เข้าสู่วันที่สองแล้วสำหรับการเดินทางไปเที่ยวกัมพูชาของคุณหมายเลขสมาชิก 1430116 แห่ง pantip.com โดยวันแรกผ่านไปแล้วผมก็ยังไม่ได้เจอนางในวรรณคดีที่ผมต้องการเลย  วันนี้ผมจะได้เจอนางในฝันของผมไหม  ซึ่งวันนี้ที่ผมคัดลอกบทความมาก็ยังไม่ได้อ่านแบละเอียดเลยกับ "รีวิวตะลุยเดี่ยวเที่ยวกัมพูชา พนมเปญ-นครวัด 5 วัน 4 คืน ง่ายๆ สบายๆ"

https://pantip.com/topic/32264663

[PANTIP] รีวิวตะลุยเดี่ยวเที่ยวกัมพูชา พนมเปญ-นครวัด 5 วัน 4 คืน ง่ายๆ สบายๆ วันที่ 2

เช้าวันที่ 2 ทานอาหารเช้าที่โรงแรมเรียบร้อย ก็พร้อมออกเดินทางครับ นัดคนขับรถไว้ 7.30 น. ออกมายืนรอหน้าโรงแรม ปรากฏว่ามีตุ๊กๆ แท็กซี่มารอกันเต็มเลยครับ บางคันก็จอดนอนที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืน เสี่ยงโชคว่าวันนี้จะได้แขกไหม  ตุ๊กๆที่ผมนัดไว้ยังไม่มา ก็เลยลองเดินออกไปหาอะไรกินข้างทางสักหน่อย ก็ไปเจอลุงขายน้ำเข้า ดูน่ากินดี แต่แกพูดอังกฤษไม่ได้ครับ  เวลาสั่งชี้อย่างเดียว ดีที่ผมสั่งแค่โอวันตินเย็น เลยไม่ยุ่งยากมาก ถ้าอยากกินอะไรพิสดารหน่อยคงลำบากแย่  รสชาติดีครับ ราคาแค่แก้วละ 15 บาทเท่านั้น ลุงชงเสร็จก็บอกราคาเป็นภาษาเขมรมา เราก็มีหน้าที่ยื่นตังให้อย่างเดียวเพราะฟังไม่รู้เรื่องสักนิด



สถานที่แรกที่เราจะไปกันก็คือ พระบรมมหาราชวังครับ เสียค่าเข้าชม 25,000 เรียลหรือประมาณ 6.25 ดอลลาร์ครับ  ลักษณะสถาปัตยกรรมจะคล้ายคลึงกับพระราชวังบ้านเรา เราจะสามารถเข้าชมได้แค่ส่วนจัดแสดงบริเวณพระราชฐานด้านนอก  จะมีอาคารอยู่หลายหลังครับ รวมถึงท้องพระโรงด้วย  บางอาคารสามารถเข้าชมได้ แต่ห้ามถ่ายภาพครับ จะมีเจ้าหน้าที่คอยเตือนอยู่



ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงตอนกำลังมีการซ้อมพระราชพิธีเฉลิมฉลองวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนโรดม สีหมุนีพอดีครับ เลยได้เห็นรูปแบบพิธีอย่างใกล้ชิด ถือเป็นบุญจริงๆครับ



ในพระราชพิธีจริง สมเด็จพระนโรดมก็จะทรงประทับบนพระเสลี่ยงนี้แหละครับ



ภายในพระบรมมหาราชวังจะมีส่วนจัดแสดงอยู่หลายอาคารครับ ทั้งจัดแสดงวัตถุโบราณที่เป็นสมบัติประจำชาติและจัดแสดงเครื่องใช้ส่วนพระองค์ ดังเช่นรูปนี้ครับ เป็นของจริงที่ถูกใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก



ด้านในอาคารก็จะมีการจำลองขบวนเสด็จในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกด้วย



หลังจากชมพระบรมมหาราชวังเสร็จ พี่คนขับก็พาผมเดินทางออกนอกตัวเมืองไปราวๆ 10 กว่ากิโลเพื่อไปยังสถานที่ที่มีชื่อว่า เจืองเอ็ก ( Choeung Ek ) ซึ่งบ้านเรารู้จักกันดีในนามว่า ทุ่งสังหารครับ จริงๆแล้วทุ่งสังหารไม่ได้มีเพียงแห่งเดียว หากแต่มีอยู่ทั่วประเทศนับรวมได้กว่า 300 แห่ง ในช่วงที่เขมรแดงเรืองอำนาจนั้น เพียงแค่ชั่วระยะเวลาประมาณ 3 ปี มีชาวเขมรถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปกว่า 2 ล้านคน  จากประชากรทั่วประเทศราวๆ 8 ล้านคนในขณะนั้น  ลองจินตนาการถึงความเหี้ยมโหดชวนสยองของเหตุการณ์นี้ดูสิครับ ครอบครัวเรา เพื่อนเรา คนที่เรารู้จัก 1 ใน 4 ต้องตายไปจากเหตุการณ์นี้ มันคงเศร้าสลดจนบอกไม่ถูกนะครับ  นี่คือภาพด้านหน้าทางเข้าครับ



ค่าเช้าชม 6 ดอลลาร์ จะมีหูฟังให้เป็นส่วนตัวนะครับ ภาษาไทยก็มี เชิญหยิบได้ฟรีครับ  สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่รำลึกถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่โหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ดังนั้นควรให้เกียรติแก่สถานที่ด้วยการเข้าชมอย่างสงบครับ



เมื่อสวมหูฟังแล้ว เราก็กดหมายเลขไล่เรียงไปตามแผนที่ฉบับย่อยที่เจ้าหน้าที่ให้มาหรืออาจจะดูตามป้ายข้างทางที่จะมีตัวเลขกำกับไว้ เราสามารถกดฟังเหตุการณ์ตามตัวเลขนั้นได้ว่า ณ จุดนี้มีความสำคัญอย่างไร เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง ดังภาพที่เห็นนี้เป็นต้นครับ



บรรยากาศของสถานที่ชวนหดหู่มากครับ ยิ่งได้รับฟังการบรรยายจากเครื่องเล่นด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเศร้าใจมากแค่ไหน เหตุไฉนคนเขมรด้วยกันถึงฆ่ากันได้ลงคอ โดยเฉพาะที่เจืองเอ็กแห่งนี้ ว่ากันว่ามีผู้คนหลายพันคนถูกสังหารที่นี่ครับ วิธีการสังหารก็แตกต่างกันออกไป เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังนะครับ  ลองดูภาพต้นตาลต้นนี้สิครับ มันก็เหมือนต้นตาลธรรมดา แต่มันคืออาวุธสังหารที่ทหารเขมรแดงนิยมใช้ในขณะนั้นครับ  กระสุนมันเปลือง เลยต้องหารวิธีสังหารรูปแบบต่างๆ รวมไปถึงการใช้ใบตาลที่คมๆ ปาดคอหอยนักโทษผู้บริสุทธิ์ ตาลต้นนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นต้นตาลสังหารครับ




นอกจากต้นตาลสังหารแล้ว เราก็มีต้นไม้สังหารด้วย ทหารเขมรแดงจะจับเด็กๆ ฟาดเข้ากับต้นไม้ครับ ประหยัดกระสุนดี




นักโทษเหล่านี้ก็คือผู้บริสุทธิ์นั้นแหละครับ  ข้อหาต่างๆที่ทหารเขมรแดงยัดให้ ล้วนแต่เป็นข้อหาเท็จและไร้สาระสิ้นดี  อย่างเช่นว่า พูดอังกฤษได้ ต้องเป็นไส้ศึกแน่ หรือหลังๆ พอเริ่มบ้ามากขึ้น กระทั่งคนใส่แว่นตาธรรมดา ยังถูกหาว่าเป็นปัญญาชน จะต้องถูกกำจัดเพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามของการปฏิวัติประเทศครับ

ทหารเขมรแดงมีวิธีการฆ่าที่หลากหลายมากครับ  มีทั้งฆ่าด้วยสารเคมี ยิงด้วยปืน หลังๆ รู้สึกว่าจะต้องฆ่าเยอะ เปลืองกระสุน ก็หันมาใช้ของที่อยู่รอบๆ ตัว ทั้งจอบ มีด เสียม ฯ เป็นอาวุธครับ ทุกๆวันจะมีรถบรรทุกขนนักโทษมาที่นี่หลายคันรถ ยิ่งในช่วงท้ายๆก่อนเขมรแดงจะหมดอำนาจ ว่ากันว่ามีรถบรรทุกมาที่นี่ถึงวันละ 50 เที่ยวเลยทีเดียว  นักโทษจะถูกปิดตา นั่งเบียดกันไปบนรถบรรทุก  ทหารเขมรแดงจะหลอกนักโทษว่า กำลังจะพาไปบ้านใหม่ ที่นั้นทุกคนจะมีข้าวกิน ไม่ต้องอดอยาก ทุกคนจะมีบ้าน  ทหารเขมรแดงจะพูดแบบนี้ไปตลอดการเดินทางเพื่อหลอกให้นักโทษตายใจจะได้ไม่กระโดดหนีระหว่างทาง ซึ่งหากมีนักโทษหลบหนี โทษสถานเดียวของเขาก็คือถูกยิงตายทันที

เมื่อรถบรรทุกมาถึงทุ่งสังหารแล้ว ทุกคนจะถูกมัดมือและบังคับให้เดินเรียงแถวกันเข้าไปภายใน  เสียงเพลงปลุกใจถูกเปิดให้ดังกระหึ่มอยู่ตลอดเวลา  เหตุผลของการเปิดเพลงเสียงดังหาใช่เพื่อให้นักโทษรู้จักรักชาติไม่ หากทว่าเป็นการช่วยกลบเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดมากกว่าครับ  นักโทษจะถูกบังคับไปไปคุกเข่าเรียงกันบริเวณขอบปากหลุมดังที่เห็นในภาพ จากนั้นทุกคนก็จะถูกตีด้วยอาวุธต่างๆจนถึงแก่ความตาย  พอตายแล้วก็โยนทิ้งลงไปในหลุมนั้นแหละ  ชาวบ้านที่เป็นคนพบทุ่งสังหารแห่งนี้เล่าว่า ตอนที่เขาพบนั้น ดินด้านล่างได้พองตัวออกจนระเบิด เนืองจากมีซากศพฝังอยู่เป็นจำนวนมาก  กลิ่นเหม็นตลบอบอวล  ชวนขนลุกสยดสยองเลยทีเดียวครับ




นี่เป็นตัวอย่างเศษกระดูกที่ขุดค้นพบภายในบริเวณนี้ครับ




ระหว่างที่เราเดินๆไป ช่วยก้มมองพื้นดีๆนะครับ  มีอีกหลายร่างที่ยังไม่ถูกขุดขึ้นมา เห็นเป็นเศษกระดูกแบบนี้เลยครับ



ที่เป็นเสื้อผ้าของผู้ตายก็มีครับ  สาเหตุที่ทางการไม่ต้องการขุดค้นเพิ่มเนื่องจากไม่ต้องการรบกวนวิญญาณผู้เสียชีวิตเหล่านี้เพิ่มอีกแล้วครับ เพราะยิ่งขุดก็ยิ่งเจอเยอะขึ้นๆครับ




ก่อนจะออกจากบริเวณ  เราควรจะร่วมไว้อาลัยและอุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิตกันด้วยนะครับ  จะมีดอกไม้และธูปวางขายอยู่  ราคา 2,000 เรียลหรือ 15 บาทโดยประมาณครับ




ภายในอาคารก็จะมีจัดแสดงกระโหลกของผู้เสียชีวิตและอาวุธจริงที่ใช้สังหารครับ แค่เห็นก็สยองแล้วครับ






รูปภาพที่บอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นกิจวัตรประจำวันที่ทุ่งสังหารในสมัยเขมรแดงครับ




ผมอยากให้เราลองหลับตา จินตนาการถึงเหตุการณ์นั้น ลองคิดว่า หากเราเป็นนักโทษ ถูกปิดตาและมัดมือ นำขึ้นรถบรรทุกมาสถานที่แห่งนี้ ความรู้สึกเราจะเป็นอย่างไร  แค่คิดก็ขนลุกแล้วครับ น่ากลัวจริงๆ




หลังจากออกจากทุ่งสังหารมาแล้ว ก็แวะทานอาหารข้างทางกับพี่คนขับเล็กน้อยครับ แต่เอาจริงๆทานไม่ค่อยลงหรอกครับ ทั้งหดหู่ ทั้งสงสาร  จากนั้นเราก็เดินทางเข้าเมืองเพื่อไปโรงเรียนครับ ถ้าเป็นโรงเรียนธรรมดาก็คงไม่มีอะไรมาก แต่นี่คือโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก  เป็นโรงเรียนที่ถูกดัดแปลงเป็นคุกเพื่อทรมานและคุมขังนักโทษในยุคเขมรแดงครับ  โรงเรียนแห่งนี้มีชื่อว่า ตวล เสลง ( Tuol Sleng ) ภายหลังที่ถูกดัดแปลงเป็นคุก ได้ชื่อใหม่ว่า เรือนจำ S-21  ประมาณว่ามีนักโทษถูกขังที่นี่อยู่ถึง 20,000 คนเลยทีเดียว และเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ว่า เกือบทั้งหมดได้เสียชีวิตลง มีเพียงไม่กี่ชีวิตเท่านั้นที่มีชีวิตรอดออกมา




ภายในก็จะเหมือนโรงเรียนทั่วๆไปที่ประกอบไปด้วยอาคารเรียนหลายหลัง มีห้องเรียนจำนวนมาก  แต่ภายหลังที่เขมรแดงเข้ามาปกครอง ห้องเรียนทั้งหมดถูกเปลี่ยนเป็นห้องคุมขัง  ภาพนี้เป็นสภาพของอาคารเรียนภายหลังจากที่รื้อลวดหนามออกแล้วนะครับ  เดี๋ยวจะมีภาพอาคารที่ยังคงสภาพเดิมไว้ด้วย




นักโทษที่เข้ามาที่นี่ ทุกคนจะต้องถูกสอบสวนครับ ซึ่งแน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องยอมรับสารภาพเพราะถ้าไม่รับสารภาพก็จะต้องถูกทรมาน สุดท้ายก็มีค่าเท่ากัน  ข้อหาส่วนใหญ่ที่ถูกทหารเขมรแดงยัดให้ก็คือ ข้อหาสายลับครับ  ในการสอบสวนจะมีกฏอยู่ 10 ข้อให้นักโทษต้องปฏิบัติตาม ดังนี้ครับ




1. ต้องตอบทุกคำถาม ห้ามเลี่ยง
2. อย่าพยายามจะปิดบังความจริงโดยการอ้างนั่น อ้างนี่ แกห้ามท้าทายฉันอย่างเด็ดขาด
3. อย่าโง่ที่จะต่อต้านการปฏิวัติ
4. จงตอบคำถาม ตอบทันที อย่าหยุดคิดเด็ดขาด
5. ไม่ต้องสาธยายความชั่วของแกให้มากความ ไม่ต้องมาเล่าเรื่องการปฏิวัติด้วย
6. เมื่อถูกเฆี่ยน ถูกช็อตไฟฟ้า อย่าร้องเด็ดขาด
7. อยู่นิ่งๆ รอฟังคำสั่ง ถ้าไม่สั่งก็ให้อยู่เงียบๆเฉยๆ ถ้าฉันสั่งอะไร แกต้องทำทันที
8. อย่าแก้ตัวเพื่อที่จะปกปิดความลับหรือการทรยศของแก
9. ถ้าแกไม่ทำตามข้อด้านบน แกจะต้องถูกเฆี่ยนด้วยสายไฟอย่างหนัก
10. ถ้าฝ่าฝืนกฏแม้แต่เล็กน้อย แกจะถูกเฆี่ยน 10 ทีหรือถูกช็อตไฟฟ้า 5 ครั้ง

เมื่อเราเข้าไปสำรวจภายในอาคาร A ก็จะเห็นห้องเรียนหลายห้องถูกแปลงสภาพเป็นห้องสอบสวนครับ ที่แน่ๆ ทุกห้องมีคนถูกทรมานจนตายมาแล้วแน่นอนเพราะที่ข้างฝาจะมีรูปคนถูกทรมาณติดอยู่  สยองพิลึกนะครับ



ตามข้างฝาจะยังคงปรากฏรอยเลือดอยู่ ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในตัวอาคารครับ



ระหว่างทางไปยังอาคารต่อไป ก็จะสถานที่ทรมานอีกแห่งครับ เป็นการผูกเชือกกับข้อเท้านักโทษ แล้วโยงขึ้นไป ก่อนจะปล่อยลงมาให้หัวจมน้ำ ทรมานจนกว่าจะรับสารภาพครับ




สภาพภายในห้องคุมขังเดี่ยวครับ เป็นอิฐก่อ มีพื้นที่แคบๆ แบ่งเป็นบล็อกๆ ซึ่งมีแบบนี้อยู่หลายห้องมาก




สภาพพื้นที่แคบมากครับ  บางห้องยังปรากฏรอยเลือดอยู่เลย  บรรยากาศรอบๆวังเวงมากครับ นี่ขนาดเป็นตอนกลางวันแสกๆ ถ้าเป็นสมัยนั้น คุกนี้ไม่ได้สว่างแบบนี้นะครับ มันเป็นคุกมืด ด้านในคงจะน่ากลัวสุดๆไปเลย




ห้องมืดแบบนี้ก็มีครับ  อันนี้มืดจริงๆ




ลองส่องเข้าไปด้านในดู เผื่อจะเห็นใครอยู่ในนั้นบ้าง




บางอาคารก็ยังรักษาสภาพเดิมไว้ ยังไม่ได้รื้อลวดหนามออกนะครับ




นอกจากห้องขังต่างๆ ภายในอาคารยังจัดแสดงรูปภาพเรื่องราวในอดีต ร่วมถึงรูปภาพเหยื่อจำนวนมากอีกด้วยครับ 




ภาพที่ชาวบ้านออกมาแสดงความดีใจ ต้อนรับกองทัพเขมรแดง โดยหารู้ไม่ว่า เขมรแดงเนี่ยแหละที่เป็นมัจจุราชที่แท้จริง




มีการจัดแสดงคำสารภาพของนักโทษด้วย อย่างรายนี้ คุณเดวิด แกก็เล่าประวัติของแกและครอบครัว ปิดท้ายด้วยการถูกบังคับให้รับสารภาพว่าเป็น CIA 




แววตาที่ตื่นกลัวของนักโทษรายหนึ่ง




แม่ลูกอ่อนรายนี้ก็เป็นศัตรูหรอครับ ทหารเขมรแดง




แม้กระทั่งเด็กเหล่านี้ก็ไม่เว้น




ภาพการทรมานนักโทษครับ 






ลุงคนนี้แกรอดตายจากคุกมาได้ครับ แกเลยมาเขียนหนังสือเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของตนเอง ใครที่ไปชมคุกแห่งนี้ แวะเวียนทักทายแกได้นะครับ ช่วยซื้อหนังสือแกหน่อย แกจะเซ็นต์ชื่อมอบให้ทุกคนครับ




สำหรับเรื่องที่พักในพนมเปญ ผมขอแนะนำโรงแรมนี้ครับ Frangipani Villa 60s โดยแนะนำให้จองผ่านเว็บไซต์ที่จะมีส่วนลดให้ เช่น agoda หรือ expedia ครับ ผมใช้บริการของ expedia ได้ห้องมาในราคา 1300 บาทต่อ 2 คืน เท่ากับคืนละแค่ 650 บาท แถมอาหารเช้าด้วย

โรงแรมนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเลยครับ เดินแค่ราวๆ 10 นาทีก็จะถึงวิมานเอกราชตามที่ได้แนะนำไว้ด้านบน อยู่ห่างจากบ้านของสมเด็จฮุนเซนแค่ 10 นาทีเท่านั้นเอง  ถือว่าใจกลางเมืองมากๆ 

บรรยากาศภายในโรงแรมร่มรื่นดีครับ ลองดูตัวอย่างจากภาพนี้ครับ ( ขออนุญาตใช้ภาพประกอบจากอินเตอร์เนทนะครับ ) เป็นส่วนของพนักงานต้อนรับและก็ที่ที่เราจะรับประทานอาหารเช้าครับ  โดยอาหารเช้าเขาจะรวมอยู่ในราคาห้องพักแล้ว  จะมีพ่อครัวมาปรุงให้สดๆเลย  ไม่ได้ทำทิ้งไว้แบบที่อื่นๆครับ  ทางโรงแรมจะมีใบรายการอาหารมาให้  เราอยากได้อะไรก็สั่งไป ถ้าจะเพิ่มอะไรเป็นพิเศษก็บอกกับพ่อครัวได้เลยครับ ที่นี่เป็นกันเองมากๆ 




ภาพอาหารเช้าที่ผมทานครับ  มีมะละกอตบท้ายให้อีก อิ่มสบายเลย  คิดแล้วคุ้มมากครับถ้าเทียบกับราคา




ภาพภายในห้องพักนะครับ ( ยืมรูปประกอบจากอินเตอร์เนท ) จะมีโต๊ะเขียนหนังสือ ทีวีเคเบิ้ล ไวไฟฟรี มีมินิบาร์  เตียงนุ่มสบายดีครับ  เครื่องปรับอากาศก็เย็นฉ่ำ ไม่มีเสียงดังรบกวน  แถมห้องน้ำยังมีอ่างอาบน้ำให้อีก  ฟินเลยครับงานนี้ เทียบกับราคา 650 บาทต่อคืน + อาหารเช้า  มันคุ้มสุดๆไปเลย



อันนี้เป็นที่อยู่และเบอร์ติดต่อของโรงแรมนะครับ  แนะนำให้ไปพักนะครับ  พนักงานนิสัยดีมาก จะคอยช่วยเหลือเราทุกอย่าง  เขาจะช่วยเรียกรถให้ เจรจาต่อรองราคากับรถให้  แถมยังมีบริการจองรถทัวร์ รถตู้ จองเครื่องบินให้อีก ทั้งหมดนี้บริการให้ฟรีครับ

Frangipani Villa 60's
#20R, Street 252, Chaktomuk, Don Penh, Phnom Penh, 12300 กัมพูชา

Tel: 855 (16) 581045, Fax: 855 (23) 727569


สำหรับพนมเปญ ยังมีสถานที่เที่ยวที่เราไม่ควรพลาดอีกหลายแห่งครับ  แต่ด้วยเวลาอันจำกัด ทำให้ผมไม่สามารถไปได้หมด เลยต้องเลือกเป็นจุดๆไป

สำหรับท่านที่มีเวลาเหลือ แนะนำให้ลองไปเดินเล่นที่ตลาดรัสเซีย ( Russia markey ) ดูนะครับ  จริงๆแล้วตลาดรัสเซียเนี่ยตั้งอยู่ติดกับโรงแรมที่ผมไปพักเลยครับ ( Frangipani Villa 60s' ) แต่เนื่องจากผมเป็นคนไม่ชอบซื้อของ ก็เลยไม่ได้เข้าไปครับ บรรยากาศภายในก็คล้ายๆกับจตุจักรบ้านเรา เลยขอผ่านดีกว่า ( ยืมภาพประกอบจากอินเตอร์เนทนะครับ )




อีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดครับก็คือ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติของกัมพูชา  ที่นี่เราจะเสียค่าเข้าชมคนละ 5 ดอลลาร์  ภายในห้ามถ่ายรูปนะครับ  จะมีวัตถุโบราณที่เป็นสมบัติของชาติจัดแสดงอยู่เยอะมาก บางชิ้นก็อายุเป็นพันๆ ปี  บางชิ้นก็นำมาจากนครวัด นครธม เพื่อนำมาอนุรักษ์และรักษาไว้ที่นี่ครับ  คุ้มค่าแก่การเข้าชมมากเพราะเป็นสิ่งที่บอกเล่าเรื่องราวและความเป็นมาของชาติของเขาได้เป็นอย่างดีครับ




บรรยากาศภายในครับ  เนื่องจากเขาห้ามถ่ายรูป เลยถ่ายได้แต่บริเวณนี้ครับ




นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองพนมเปญแล้ว การได้นั่งรถหรือเดินชมเมืองก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่น่าสนใจครับ  ผมชอบเดินไปตามท้องถนนเพื่อดูวิถีชีวิตผู้คนครับ  สำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว กัมพูชาเป็นอะไรที่สะดวกสบายในระดับหนึ่ง  ไปที่ไหนก็มีป้ายภาษาอังกฤษครับ  คนเขมรส่วนมากจะพูดอังกฤษได้ บางคนกระทั่งพูดไทยได้เลยก็มีครับเพราะคนที่นี่เขาดูทีวีไทยกัน  แต่ถึงแม้ว่าเขาจะพูดอังกฤษไม่ได้ แต่เขาก็จะพยายามช่วยเหลือเรานะครับ เวลาเราถามทางหรือซื้อของ ดังนั้นไม่ต้องกลัวครับ

คนไทยส่วนใหญ่มักจะมีความรู้สึกด้านลบกับคนเขมรและพม่า  คิดว่าคนพม่าจะต้องดุร้าย คนเขมรจะต้องขี้โกง ซึ่งจากการได้ไปสัมผัสมาแล้วทั้ง 2 ประเทศ  ผมว่าเขาก็ใจดีไม่แพ้เราหรอกครับ

ผมนั่งทานข้าวร่วมกับคนเขมร  เขาก็เล่าให้ฟังหลายเรื่องครับ เขาบอกว่า จริงๆแล้วคนเขมรชอบคนไทยมาก  สินค้าไทยที่มาขายที่นี่ขายดีทุกอย่าง ก็คงประมาณเมคอินเจแปนในบ้านเราเนี่ยแหละครับ  เขาบอกว่าคนไทยใจดี  เวลาคนเขมรไปทำงานที่ไทย คนไทยไม่เคยไล่  แต่คนเขมรจะไม่ชอบคนเวียดนาม  เขาบอกพวกนี้เอาเปรียบ ขี้โกง  ซึ่งที่ผมไปพม่ามา คนพม่าก็คิดแบบนี้ แปลกดีเหมือนกันนะครับ

ภาพตอนนั่งทานข้าวกับพี่คนขับตุ๊กๆครับ อาหารที่นี่โอเคครับ ถึงจะไม่เหมือนบ้านเรา แต่ก็คล้ายคลึงเลยทีเดียว อย่างที่เห็นในรูปคือผัดกระเพราแบบเขมรๆ แล้วก็แกงส้มที่ไม่เหมือนแกงส้มครับ...งงเหมือนกัน แต่เอาเป็นว่ามันคือแกงส้มนั่นแหละครับ ราคาอาหารในพนมเปญถือว่าไม่แพงนะครับ แต่จะไปแพงที่เสียมเรียบ ( เสียมราฐ ) ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวครับ




นี่ครับ คนเขมรเขาดูทีวีไทยกัน  กำลังดูองค์บากเลย เขาดูหนังไทยแบบไม่ต้องมีซับด้วย  เพื่อนๆของพี่คนขับตุ๊กๆ เห็นผมเป็นคนไทย เดินเข้ามาคุยกันใหญ่  มีคนนึงบอกว่าชอบเบิร์ดมาก เจมส์ เรืองศักดิ์ก็ชอบ บอกอย่างเดียวกลัวเราจะไม่เชื่อ พี่เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโชว์ให้ดูเลยว่าเพลงไทยทั้งนั้นที่ฟัง  แล้วแกก็ร้องเพลงไม่อาจเปลี่ยนใจของเจมส์ให้ฟังด้วย  แกร้องได้ถูกอักขระมากทั้งๆที่พูดไทยไม่ได้นะครับ  เห็นอย่างนี้แล้ว ใครหัวการค้าก็ลองหาวิธีไปทำเงินจากคนเขมรได้เลย




คนไทยไปพนมเปญไม่ต้องกลัวอดอยากครับ  ถ้าไม่ชอบอาหารแบบเขมรๆ ก็มีอาหารญี่ปุ่น พิซซ่า เคเอฟซีให้รับประทานกันปกติครับ  อย่างร้านนี้เป็นชาบู สังเกตดูตอนค่ำๆ คนจะเยอะมาก  วัยรุ่น วัยทำงานเขมรก็เหมือนบ้านเราเนี่ยแหละครับ คล้ายๆกัน





เด็กนักเรียนที่นี่ส่วนใหญ่จะปั่นจักรยานหรือไม่ก็จะไปกับรถรับส่งนะครับเท่าที่สังเกตดู  แต่งตัวกันเรียบร้อยทีเดียว




อย่างที่บอกไปข้างต้น ที่นี่ไม่มีสะพานลอยครับ  ผมขับรถไปทั่วเมือง หาสะพานลอยสักแห่งก็ไม่เจอ  ส่วนไฟแดงก็มีน้อยมาก  แต่เห็นอย่างนี้ รถที่นี่ไม่ติดนะครับ  รถเยอะมากก็จริง วิ่งกันแบบไม่เป็นระเบียบ แต่คนเขมรขับรถเก่งมากครับ  เขาจะไปตามทางของเขา  เขารู้ว่าจะหลบตรงไหน ยังไง ต่างคนต่างไป ถ้าเห็นอันตรายหน่อยก็บีบแตรดังลั่น รถไหลตามกันไปเรื่อยๆ  ใครที่ไปพนมเปญลองสังเกตดูนะครับ รถที่นี่ไม่ติดจริงๆ




ร้านข้าวขางทางของที่นี่จะนั่งกันแบบนี้ครับ  ก็เหมือนของบ้านเรา แต่เก้าอี้จะสั้นกว่า  




ที่นี่ไม่มีน้ำปลาครับ  คนเขมรเขามีเครื่องปรุงแบบนี้ครับ  ผมเห็นเขาชอบใส่อะไรสักอย่างที่คล้ายๆซอสพริก สีแดงๆคล้ายๆกัน แต่คงไม่ใส่ซอสพริก เขาบอกเนี่ยแหละน้ำปลาแบบเขมร




ถนนข้าวสารของเขมรก็มีนะครับ  บริเวณนี้มีฝรั่งอยู่เยอะพอสมควร มีผับ บาร์  แล้วก็มีโรงหนังขนาดเล็กที่เป็นของคนอเมริกัน ในเว็บไซต์ฝรั่งเขาชอบแนะนำกันปากต่อปาก ชื่อ The flicks ครับ มี 2 สาขา ใครเก่งภาษาอังกฤษหน่อยก็เข้าไปชมได้ครับ ค่าบริการคนละ 3 ดอลลาร์ ฉายหนังแผ่นที่เพิ่งออกจากโรงมา เก้าอี้ไม่มีครับ มีแต่ที่นอน นอนดูหนังเหมือนนอนอยู่บ้านกันเลย  แต่ไม่มีซับนะครับ




หน้าโรงหนังครับ 




ที่นี่ไม่ค่อยมีห้างครับ เท่าที่เห็นมีเพียง 2-3 แค่นั้น  ผมลองเข้าไปเดินดูห้างเล็กๆสำหรับวัยรุ่น ก็คล้ายๆยูเนียนมอลล์บ้านเรา แต่เล็กกว่ามากครับ มีเพียงแค่ 2 ชั้นเท่านั้นเอง




สวนสนุกก็มีนะครับ ค่าเข้าสำหรับคนบ้านเขาไม่แพงครับ แต่สำหรับเรา 10 ดอลลาร์ครับก็เลยไม่ได้เข้าไป  แต่สังเกตดูจากรอบนอกเห็นมีรถบัมพ์ ชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน บ้านผีสิง แบบทั่วๆไปครับ 




ทันทีที่ตุ๊กๆรู้ว่าคุณเป็นคนไทย เวลาขับผ่านบริเวณบ้าน 2 หลังนี้ ทุกคันจะชี้ไปที่บ้านแล้วบอกคุณว่า ทักษิณๆ ทุกคันบอกผมแบบนี้จริงๆครับ หลังทางขวาเป็นบ้านของสมเด็จฮุนเซน  ส่วนหลังทางซ้ายมือ คนเขมรเขาบอกว่าเป็นบ้านที่คุณทักษิณมาสร้างไว้และอดีตนายกยิ่งลักษณ์ก็มาพักอยู่หลายครั้ง  บ้านสองหลังนี้อยู่ติดกับวิมานเอกราชเลยครับ  ใครสนใจลองไปเดินๆเลียบๆ เคียงๆ ชมได้  แต่อย่าไปถ่ายรูปแบบจะๆแจ้งๆนะครับ ตำรวจแถวนั้นเยอะครับ 



สุดท้ายก็สิ้นสุดวันที่สองของการเดินทางเที่ยวกัมพูชาของคุณหมายเลขสมาชิก 1430116 ซึ่งระหว่างที่ผมคัดลอกบทความผมก็ลุ้นอยู่ว่าจะได้เจอนางในฝันที่เขมรบ้างมั๊ยนะ  สงสัยการท่องโลกส่องสาวน่าจะเป็นที่ผมคนเดียวละมั้งครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

[PANTIP] รีวิวตะลุยเดี่ยวเที่ยวกัมพูชา พนมเปญ-นครวัด 5 วัน 4 คืน ง่ายๆ สบายๆ วันที่ 1

[PANTIP] รีวิวตะลุยเดี่ยวเที่ยวกัมพูชา พนมเปญ-นครวัด 5 วัน 4 คืน ง่ายๆ สบายๆ วันที่ 3